วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเพณีตานก๋วยสลาก

ประเพณีตานก๋วยสลาก

ประเพณีตานก๋วยสลาก คือ การทำบุญสลากภัตในล้านนาไทย มีเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นบางแห่งว่า “ กิ๋นก๋วยสลาก ” บางแห่ง “ กิ๋นสลาก ” บางแห่งว่า “ ตานก๋วยสลาก ” ในภาษาเขียนบางทีก็เขียนว่า “ทานสลาก” ในความหมายเป็นอย่างเดียวกัน สำหรับวิธีการทำบุญมีแตกต่างกันไปตามความนิยมในท้องถิ่นของตนประเพณี กิ๋นก๋วยสลาก หรือทานสลากนี้เป็นประเพณีเก่าแก่ที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่พุทธสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงพระชนม์อยู่ ปรากฏในพระธรรมบทขุททกนิกายว่า “ พระพุทธองค์สรรเสริญพระสาวกอรหันต์ของพระองค์คือ พระโกณฑธานเถระ ซึ่งเป็นผู้มีโชคดีในการจับสลากได้ที่หนึ่งทุกครั้งแม้พระพุทธเจ้าก็สู้ท่าน ไม่ได้ พระสาวกทั้งหลายมีความสงสัยว่า ทำไมท่านจึงมีความโชคดีเช่นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสบอกแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งมวลว่า โกณฑธาปรารถนาว่าถ้าเลือกอะไร แข่งขันอะไร ขอให้ได้ที่หนึ่งเสมอ ดังนั้นในชาตินี้โกณฑธาจึงเป็นคนโชคดี
ประเพณีตานก๋วยสลากประเพณีตานก๋วยสลาก หมายถึง ประเพณีถวายทานสลากภัต เป็นวิธีการถวายเครื่องไทยทานแก่พระพระสงฆ์วิธีหนึ่งอันเป็นที่นิยมของชาว เหนือ โดยทั่วไปจะเริ่มใน วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ (กันยายน) ถึงแรม 1 ค่ำ เดือนเกี๋ยงดับ (พฤศจิกายน) เมื่อทางวัดและชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดให้มีการกินสลาก ก่อนวันตานก๋วยสลาก ชาวบ้านจะจัดทำพิธีเตรียมสิ่งของเครื่องไทยทาน 1 วัน เรียกวันที่เตรียมของนี้ว่า “วันดา” ชาวบ้านจะจัดเครื่องไทยทานลงใน “ก๋วย” เป็นตระกร้าหรือชะลอมขนาดเล็กที่สานด้วยไม้ไผ่) เรียกว่า “ก๋วยสลาก” แล้วนำของไทยทานจำพวกข้าวสารอาหารแห้งบรรจุลงไป บางวัด จะจัดเครื่องไทยทานลงในหม้อดินเผา แต่ในปัจจุบันก็อาจจะมีการดัดแปลงจาก “ก๋วยสลาก” มาเป็น “ถังพลาสติก” บรรจุเครื่องไทยทานเหมือนกับที่เรานิยมใช้กันทั่วไป นอกจากนี้อาจจะมีการตกแต่งเครื่องไทยทานเป็นต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สูงตามต้องการ นำไม้ไผ่เหลาและทำเป็นวงกลมทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น 3 ชั้น , 5 ชั้น , 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น  แต่ละชั้นนำสิ่งของที่จะใช้เครื่องไทยทานมาผูกติดให้สวยงาม ส่วนบนสุดจะนิยมนำร่มมาเสียบไว้ และใช้ธนบัตรผูกติดตามขอบร่มตามศรัทธาของเจ้าของกัณฑ์สลาก
003

ค่านิยมในการตานก๋วยสลาก-ประชาชนว่างจากภารกิจการทำนา-ผลไม้ เช่น ส้มโอ , ส้มเขียวหวาน , ส้มเกลี้ยง , กำลังสุก-ประชาชนหยุดพักไม่เดินทางไกลเพราะเป็นฤดูฝน-พระสงฆ์จำพรรษาอยู่อย่างพรักพร้อม-ได้โอกาสสงเคราะห์คนยากจนเป็นสังคหทาน-ถือว่ามีอนิสงฆ์แรง คนทำบุญสลากมักจะมีโชคลอยมา-มีโอกาสหาเงินและวัสดุบำรุงวัดด้วยเหตุผล ๗ ประการนี้ ประชาชนชาวไทยในล้านนาจึงนิยมทำบุญสลากภัตรกันเกือบทุกวัน มีแต่ หากว่าวัดใดมีงานตั้งธรรมหลวง ( เทศน์มหาชาติ ) วัดนั้นจะเว้นจากการทำบุญสลากภัตร
004

ก๋วยสลากขั้นตอนการตานก๋วยสลากก่อนวันทำพิธี “ทานก๋วยสลาก” ๑ วัน เรียกว่า “วันดา” เป็นวันจัดเตรียมสิ่งของเครื่องไทยทาน พวกผู้ชายก็จะจัดการจักตอกสาน “ก๋วย” ไว้หลายๆ ใบ บางครอบครัวอาจจะทำหลายสิบลูกแล้วแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์จะอำนวยให้ ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมห่อจอกระจุกกระจิก เช่น ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ กะปิ ปลาร้า ขนมข้ามต้ม และอาหาร เช่นห่อหมก สีย้อมผ้า ผลไม้ต่างๆ เครื่องใช้สอยต่างๆ ตามแต่ศรัทธาและฐานะ สิ่งของต่างๆ เหล่านี้จะบรรจุลงในก๋วยซึ่งกรุดด้วยใบตองหรือกระดาษสีต่างๆ เมื่อจัดการบรรจุสิ่งของต่างๆ ลงในก๋วยเรียบร้อยแล้วก็จะเอา”ยอด” คือ สตางค์หรือธนบัตรผูกติดไม้เรียวเสียบไว้ “ยอด” ที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าจะเท่าใดแล้วแต่กำลังทรัพย์และศรัทธาจะอำนวยให้ เมื่อเตรียมสิ่งของดังกล่าวเสร็จเรายบร้อยแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นในวันทานสลาก เข้าก็จะใช้เด็ก ลูกหลานเอาเสื่อไปปูที่ลานวัด หรือตามศาลาบาตร และเอา “ก๋วยสลาก” ไปวางเรียงไว้เป็นแถวๆ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะจัดเตรียมขัน(พาน) เข้าตอก ดอกไม้ ธูปเทียน ถือขัน (พาน) ไปวัดกันเป็นหมู่ๆ บ้างก็จูงมือลูกหลานไปด้วย ส่วนพวกหนุ่มๆ สาวๆ ก็ไม่เหมือนกัน ส่วนมากไปกันเกือบหมดทั้งครอบครัว เพราะถือว่าการทานสลากภัตนี้มีอานิสสงส์มาก และจะได้ช่วยกันเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระในเวลามีการเรียก “เส้นสลาก”
005

“เส้นสลาก”นี้ ผู้เป็นเจ้าของ”ก๋วยสลาก”จะต้องเอาใบลานหรือกระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาวๆ จารึกชื่อเจ้าขอไว้ และบอกด้วยว่าอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ใครบ้าง คำจารึกในเส้นสลากนั้นมักจะเขียนดังนี้ “สลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้านายแก้ว นางดี ขอทานให้กับตนตัวภายหน้า” หมายถึง ถวายทานไว้อุทิศส่วนกุศลไว้สำหรับตัวเอง เมื่อล่วงลับไปแล้วจะได้รับเอาของไทยทานนั้นในปรโลก ซึ่งเป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า เมื่อทำบุญถวายทานไว้ในพระศาสนาแล้วเมื่อล่วงลับดับขันธ์ไปก็จะได้ไปเสวย อานิสงส์ผลบุญนั้นในโลกหน้าและจะมีการอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ญาติพี่น้องผู้ ล่วงลับไปแล้ว “ผู้ข้าหนานเสนา บางบุ บ้านวังม่วง ขอทานไว้ถึงนางจันตาผู้เป็นแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ขอหื้อไปรอดไปถึงจิ่มเต๊อะฯ” เป็นต้น
006

การแบ่ง “เส้นสลาก” ในแบบฉบับเดิมของ “ชาวบะเก่า” (คนโบราณ) ในสมัยที่พวกชาวบ้านยังไม่รู้หนังสือ ไม่รู้จักคิดเลขอยู่นั้น การแบ่ง”ก๋วยสลาก”จะต้องตก “เส้นสลาก”เป็นกองๆ รวม ๓ กอง กองหนึ่งคือของพระเจ้า”(คือของวัด) ส่วนอีก ๒ กอง นั้นเฉลี่ยออกไปตามจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมในงานทำบุญ หากมีเศษเหลือก็มักจะปัดเป็นของพระเจ้าเสีย“เส้นสลาก” ที่แบ่งปันให้พระภิกษุ สามเณรที่นิมนต์มาจากวัดต่างๆ นั้น เมื่อพระภิกษุ สามเณร ได้รับส่วนแบ่งแล้ว ก็จะไปยึดชัยภูมิแห่งใดแห่งหนึ่งในวัดและจัดการออกสลาก คือ อ่านเชื่อในเส้นสลากดังๆ หรือให้ลูกศิษย์ (ขะโยม) ที่ไปด้วยนั้นตะโกนตามข้อความที่เขียนไว้ในเส้นสลาก หรือ เปลี่ยนเป็นคำสั้นๆ เช่น “ศรัทธาหนานใจวงศ์ บ้านวังม่วงมีไหมเหอ” เมื่อผู้เป็นเจ้าของได้ยินหรือมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยิน ก็จะไปบอกให้เจ้าของ “ก๋วยสลาก” ซึ่งบางรายก็จะหิ้ว “ก๋วย” ไปตามหาเส้นสลากตามลานวัด การเที่ยวหาเส้นสลากนี้เป็นที่น่าสนุกสนาน   ทั้งพวกหนุ่มๆ สาวๆ และผู้เฒ่าผู้แก่ ก็จะหิ้ว “ก๋วยสลาก” ออกตามเส้นสลากกันขวักไขว่ ทุกคนจะมีใบหน้าแช่มชื่นผ่องใส ก็จะถือโอกาสช่วยๆ สาวๆ หาเส้นสลากเป็นการผูกไมตรีไปด้วย เมื่อพบเส้นสลากองตนแล้วก็จะเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระ พระก็จะอ่านข้อความในเส้นสลากให้ฟังอีกครั้งหนึ่งแล้วรับเอา “ก๋วยสลาก” และกล่าวอนุโมทนาให้พร แล้วก็คืนเส้นสลากนั้นให้เจ้าของสลากไป เจ้าของสลากก็นำเอาเส้นสลากนั้นไปรวมไว้ในวิหาร เมื่อเสร็จงาน “แก่วัด” หรือมรรคนายกก็จะเอาเส้นสลากนั้นไปเผาไฟหรือทิ้งเสีย
007

การ “ทานก๋วยสลาก” นี้นอกจากจะมี “ก๋วยเล็ก” แล้ว ผู้ที่มีฐานะดี การเงินไม่ขัดสน ก็จะจัดเป็นพิเศษที่เรียกว่า “สลากโชค” หรือ "สลากสร้อย" สลากโชคนี้ทำเป็นพิเศษกว่าสลากธรรมดา และในสมัยก่อนมักจะทำเป็นรูปเรือนหลังเล็กๆ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยชาม เครื่องนอนหมอนมุ้ง เสื่ออ่อน ไม้กวาด เครื่องนุ่งห่ม อาหารสำเร็จรูป ๑ สำรับ และรอบๆ เรือนหลังเล็กนั้นจะมีต้นกล้วย ต้นอ้อยผูกติดไว้ และยังมี “ยอด” เงินหลายสิบ หรือปัจจุบันก็เป็นร้อยๆ บาท ผูกติดไว้ด้วย สลากโชคนี้บางคนก็อุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไป แล้วสลากโชคนี้เจ้าของจะตบแต่งประณีตสวยงามกว่าสลากธรรมดา บางราจเจ้าของก็เอาเครื่องประดับอันมีค่า สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือหรือเข็มขัดนาค เข็มขัดเงินใส่ลงไปด้วย แต่ไม่ได้ “ทาน” ไปจริงๆ เมื่อถวายสลากแล้วก็มักจะขอ “บูชา”คืน การเอาของมีค่าใส่ลงไปเช่นนั้น ผู้ถวายมักจะอุทิศส่วนกุศลนั้นๆ ให้ตนเอง เพราะเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้วหากไปเกิดในภพอื่นๆ ก็จะได้รับสิ่งของที่
008

วิธีการทำและการตกแต่งก๋วยชะลอมสำหรับใส่ของที่จะถวายพระสงฆ์ มีลักษณะคล้ายชะลอมใส่ผลไม้ มีลำดับขั้นตอนในการทำและตกแต่งดังนี้1. เอาไม้ไผ่มาสานเป็นชะลอม คล้าย ๆ ชะลอมใส่ผลไม้2. นำใบตองมารองในก๋วย3. นำเครื่องไทยทานใสก๋วย ดังนี้ข้าวสารอาหารแห้ง ประกอบด้วย  - ข้าวสาร- กระเทียม- หอมแดง- เกลือ- ปลาร้า- ปลาแห้ง- ปลากระป๋อง- พริกแห้ง- น้ำปลาขนาดเล็ก หมาก พลู กล้วย อ้อย ปูนแดง ปูนขาว ของคาวหวาน บุหรี่ (ยาขึ่น) ไม้ขีด ดอกไม้ธูปเทียน (สวยเตียน)  เมื่อนำสิ่งของทั้งหมดใส่ในก๋วยแล้ว มัดปากก๋วยด้วยตอก แล้วนำเอาดอกไม้ธูปเทียน    (สวยเตียน) เสียบไว้ข้างบน                                                  
009

การสานก๋วยสลาก๋วยสลากของแท้และดั้งเดิม การทำและแต่งต้นกัลปพฤกษ์ 1. นำไม้ไผ่สูงตามต้องการทำเป็นเสาสลากของต้นกัลปพฤกษ์2. นำไม้ไผ่เหลาเป็นวงกลมทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น 3 ชั้น , 5 ชั้น , 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น แต่ส่วนมากนิยมทำเป็น 9 ชั้น3. นำกระดาษย่นสีต่าง ๆ มาพันรอบเสาและชั้นของต้นกัลปพฤกษ์4. แต่ละชั้นก็นำเครื่องไทยทานมาผูกติดให้สวยงาม ปัจจุบันจะนิยมใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป วุ้นเส้น ถ้วย จาน ขันน้ำ ขนม แปรงฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ ผงซักฟอก สบู่ แก้วน้ำ แชมพูสระผม5. ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู6. ส่วนชั้นที่ 9 นำสบงมาติด7. ส่วนชั้นที่ 1 นำเงินที่เป็นเหรียญมาห่อด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง แล้วนำมาห้อยไว้8. แล้วนำร่มคันเล็กมาติดปลายยอดสุด แล้วยังมีการผูกธนบัตรไว้ที่ขอบร่มตามศรัทธา      

เส้นสลากการทำเส้นสลาก       เส้นสลากทำจากใบตาลหรือใบลาน แล้วเขียนข้อความอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้ที่  ล่วงลับและเทวดาทั้งหลาย และเส้นสลากจะมีการทำเครื่องหมายที่แตกต่างกันออกไป ในสลากอาจจะเขียนว่า “สลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้า นาย....... นางสาว.......... ขอทานไว้กับตนตัวภายหน้า” อันหมายถึง ขอทำบุญไว้กับตนเอง “ผู้ข้า..............ขอทานไว้แก่ นาง.....  ขอหื้อเป็นสุขเป็นสุขเถิด” อันหมายถึงมอบการบุญนี้เป็นอานิสงส์แด่ผู้อื่น อย่างนี้เป็นต้นพิธีกรรมในประเพณีตานก๋วยสลาก
011

เมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลาก จะจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานเข้าวัดโดยขบวนแห่จะประกอบด้วยต้นสลาก ขบวนรถก๋วยสลาก แต่ละขบวนแห่จะมีการฟ้อนรำของศรัทธาชาวบ้านซึ่งจะมากันเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า ศรัทธาของหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านที่จัดประเพณีนี้ขึ้น และศรัทธาหมู่บ้านอื่นที่มาร่วมงานกัณฑ์สลากแต่ละกัณฑ์จะมีเส้นสลาก เขียนข้อความอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับและเทวดาทั้งหลายและมี ชื่อเจ้าของกัณฑ์ เส้นสลากที่เขียนจะเขียนลงในแผ่นใบตาล หรือใบลาน หรือกระดาษแข็ง เท่าจำนวนของเครื่องไทยทาน และนำเส้นสลากไปกองรวมกันยังที่กำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิหารหน้าพระประธาน กรรมการจะจัดแบ่งสลากออกเป็นกอง ๆ ตาจำนวนที่ พระภิกษุ สามเณร ที่นิมนต์มาร่วมพิธีและจัดแบ่งให้พระประธานด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของ พระพุทธเจ้า
012

ถ้ามีสลากจำนวนมาก พระภิกษุจะได้รับ 20 เส้น สามเณรได้ 10 เส้น เส้นที่เหลือสมทบถวายพระประธาน เมื่อเสร็จจากการแบ่งเส้นสลาก คณะกรรมการจะนำเส้นสลากที่แบ่งแล้วจำนวน 1 มัด ไปประเคนพระผู้อาวุโส ซึ่งเป็นประธานในพิธี ต่อจากนั้นกรรมการจึงนำเส้นสลากไปถวายพระเณรตามลำดับ เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาจบแล้ว ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันไปนั่ง ณ ที่จัดไว้ให้ชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลากต่างพากันตามหาเส้นสลากของตนที่อยู่ใน มือของพระภิกษุสามเณร เมื่อพบแล้ว  พระภิกษุสามเณรอ่านเส้นสลากแล้วจึงถวายของ เมื่อรับพรเสร็จรับเส้นสลากของตนไปเผา แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ตายเป็นเสร็จพิธี
013

สำหรับเครื่อง ไทยทานที่จัดทำเป็นต้นกัลปพฤกษ์ เจ้าของต้องนิมนต์พระภิกษุหรือสามเณรที่ได้เส้นสลากไปยังที่ตั้งของเครื่อง ไทยทานเพื่อถวาย บางครั้งกัณฑ์สลากจัดทำเป็นหุ่นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ขนาดใกล้เคียงของจริงทำด้วยหุ่นโครงไม้ไผ่หุ้มด้วยผ้า ทาสีสันให้เหมือนสัตว์จริง การถวายมีลักษณะเช่นเดียวกับกัณฑ์สลากอื่น ๆ

การกินสลากนิยมจัดหลังจากการออกพรรษา ประเพณีตานก๋วยสลากบางหมู่บ้านจะจัดมีทุกปี บางหมู่บ้านอาจจัดเว้นปี หรือ 3 ปี จัดครั้งหนึ่ง หรือ 4 ปี หรือ 5 ปี ต่อครั้ง เพราะเนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดทำกัณฑ์สลาก

015

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

วัดพระธาตุหริภุญชัย


พระธาตุหริภุญชัย 


เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองลำพูนมานานนับพันปี จัดเป็นพระธาตุที่เก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ เพราะสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอาทิตยราช หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งช่วงนั้นนครหริภุญชัยมีความรุ่งเรืองทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่าง มาก องค์พระธาตุมีลักษณะศิลปะแบบล้านนา ปิดด้วยทองจังโกสีเหลืองอร่ามทั้งองค์ ภายในประดิษฐานพระเกศบรมธาตุซึ่งบรรจุอยู่ในโกศทองคำอีกชั้นหนึ่ง บริเวณโดยรอบองค์พระธาตุจะมีซุ้มกุมภัณฑ์และฉัตรประจำทั้งสี่มุม นอกจากพระธาตุ์เจดีย์หริภุญชัยแล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น บริเวณด้านหน้าวัดซึ่งเป็น “ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์” ประตูทางเข้าสู่เขตพุทธาวาสซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ยอดหลังคาสร้างเป็นทรงปราสาทซ้อนกันหลายชั้น และมีปูนปั้นรูปสิงห์อยู่ด้านหน้า ซุ้มประตูนี้จึงได้ชื่อว่า ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์นั่นเอง ถัดจากซุ้มประตูเข้ามาเราจะเห็น “พระวิหารหลวง” ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถึงสามองค์ด้วยกัน ภายในตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรงดงาม ส่วนทางด้านทิศใต้ของพระวิหารหลวง เป็นที่ตั้งของ “หอธรรม” หรือ “หอพระไตรปิฏก” สิ่งปลูกสร้างตามแบบศิลปะล้านนาประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองและกระจกอันสวย งาม ซึ่งตามหลักฐานศิลาจารึกคาดว่าสร้างขึ้นราว พ.ศ. 2053 โดยพระเมืองแก้วกษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ถ้าสังเกตุให้ดี เราจะเห็นว่าลักษณะสถาปัตยกรรมของหอธรรมนี้มีความคล้ายคลึงกับหอไตรที่วัด พระสิงห์ฯ อยู่ไม่น้อยเลย

วัดพระธาตุดอยสุเทพ

วัดพระธาตุดอยสุเทพ


 วัดพระธาตุดอยสุเทพไหว้องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ คู่เมืองเชียงใหม่ ก่อนที่จะมาเป็นวัด เป็นวัดสำคัญของเชียงใหม่นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางไปเชียงใหม่มักขึ้นไปนมัสการจน
มีคำขวัญชาวบ้านในสมัยก่อนว่าไปเชียงใหม่ต้อง "ไปกำแพงดิน กินข้าวซอย ขึ้นดอยสุเทพ"
อีกทั้งคนเชียงใหม่เองยังเดินทางไปนมัสการอยู่เป็นประจำด้วย
เชื่อว่าการขึ้นไปนมัสการพระธาตุเสมือนกับการไปแสวงบุญ
เนื่องจากสมัยก่อนการเดินทางขึ้นดอยนั้นทำได้ยาก

ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตร หมายเลขทางหลวง ๑๐๐๔
ถนนห้วยแก้ว ระยะทางจากเชิงดอยไปถึงพระธาตุดอยสุเทพประมาณ ๑๔ กิโลเมตร 


ประวัติ
ตั้งขึ้นในสมัยโบราณตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๖๒ ครั้งพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชอาณาจักรมังราย ทรงนิมนต์พระเถระจากสุโขทัยเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเชียงใหม่ ท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุ
มาด้วยจำนวนสององค์ พญากือนาจึงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นที่วัดสวนดอก และวัดพระธาตุดอยสะเทพ ในระยะแรกวัดพระธาตุดอยสุเทพยังไม่มีพระภิกษุจำพรรษา ต่อมาประมาณปีพ.ศ. ๒๐๘๑ - ๒๑๐๐
เข้ามาเฟื่องฟูในจังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังเจ้าดารารัศมีพระราชชายาในรัชกาลที่ พระญาณมงคลโพธิเถระจากลำพูนมาจำพรรษา
และสร้างบันไดหินจากฐานขึ้นไปยังองค์พระบรมธาตุ ต่อมาได้ก่ออิฐถือปูนเป็นบันไดนาค 
พ.ศ.๒๓๔๘พระเจ้ากาวิละโปรดให้บูรณะปฎิสังขรณ์พระบรมธาตุและสร้างวิหารสองหลัง
และสร้างวิหารสองหลังและเริ่มงานประเพณีขึ้นดอยเพื่อไปทำบุญในวันแปดเป็ง (เหนือ) 
หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) 
พ.ศ. ๒๔๗๘ ครูบาศรีวิชัย (นักบุญแห่งล้านนาไทย) ได้เชิญชวนให้ประชาชนชาวเหนือ
ร่วมแรงงานร่วมใจกันสร้างถนนจากเชิงดอยขึ้นไปสู่
วัดพระธาตุฯ โดยเริ่มลงมือเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘
แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ในเวลาเพียง ๔ เดือน ๒๒ วันเท่านั้น 
รวมระยะทางประมาณ ๑๔ กิโลเมตร

ประเพณีขึ้นดอย

เป็นพระเพณีที่สืบทอดกันมาแต่อดีต ในคืนก่อนวันวิสาขบูชาของทุกปี 
ชาวบ้านจะเดินทางด้วยการเดินเท้าถือประทีปธูปเทียนเป็นริ้วขบวนประกอบด้วย
พระสงฆ์ซึ่งเดินนำหน้าขบวน และยังมีหนุ่มสาวที่เดินขึ้นดอยเป็นหมู่เป็นคณะอีกด้วย
เริ่มขบวนที่บริเวณอนุสาวรีย์ครูและวัดอนาคามีแต่ปัจจุบันวัดทั้งสองได้ร้างไปแล้วบาศรีวิชัย ใกล้กับวัดศรีโสดาในอดีตจะแวะนมัสการวัดสักกิทาคา
และวัดอนาคามีแต่ปัจจุบันวัดทั้งสองได้ร้างไปแล้วขบวนจึงเดินขึ้นไปนมัสการ
ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพเพื่อจะไปทำบุญตักบาตรและฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา
ในตอนเช้าตรู่วันวิสาขบูชา




วัดพระธาตุลำปางหลวง

  

พระธาตุลําปางหลวง มนต์เสน่ห์ความงามล้านนา


 ลำปาง...เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในประเทศไทย ที่ยังคงอารยธรรมล้านนาไทยไว้ไม่เสื่อมคลาย ทั้งวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัดวาอาราม และสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ รวมถึง "รถม้า" และ "ถ้วยชามตราไก่" อันเลื่องชื่อ เอกลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัด 

          แต่สถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด! เมื่อไปเยือนเขลางค์นคร นั่นก็คือ "วัดพระธาตุลำปางหลวง" วัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ และเป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย อีกทั้ง พระธาตุลำปางหลวง ยังเป็น พระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน 

พระธาตุลำปางหลวง


          วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา ตามตำนานกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัย พระนางจามเทวี ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ตอนปลาย มีความสวยงามและอลังการด้วยศิลปะสถาปัตยกรรม ที่สร้างขึ้นในแนวกำแพงใหญ่ ซึ่งทอดยาวกั้นทุกอย่างไว้ในบริเวณวัด ส่วนบันไดด้านหน้าเป็นนาคสองชั้น หัวนาคชั้นแรกเป็นมังกรคล้ายนาค ตามคตินิยมทางเหนือ ชั้นที่สองเป็นหัวนาคหัวเดียว 

          เดินขึ้นไปตามบันไดนาคจนถึงประตูซุ้มโค้งหรือประตูโขง ที่ส่วนบนมีลายปูนปั้นเป็นกรองวิมาน มีนาคและหงส์ตามชั้นต่าง ๆ จนถึงยอดดูสวยงามยิ่ง ข้างบนด้านหน้าจะเป็น พระวิหารหลวง เป็นวิหารเปิดโล่งขนาดใหญ่ เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย 



 พระธาตุลำปางหลวง 

          เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนาภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อพระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง ที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฏอยู่


 วิหารหลวง 

          วิหารขนาดใหญ่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร
          
พระธาตุลำปางหลวง


          สำหรับ พระเจ้าล้านทอง อยู่ในวิหารหลวง มีกู่สีทองซึ่งบรรจุพระเจ้าล้านทอง เป็นประธานของพระวิหาร หลังพระวิหารหลวง เป็นเจดีย์ประธานทรงกลมแบบล้านนาไทย บนฐานสูงมีกำแพงแก้ว ลูกกรง สำริดยอดดอกบัวล้อมเป็นรูปจัตุรัส ส่วนองค์เจดีย์นั้นบุด้วยแผ่นทองแดงปิดทอง ทางเหนือเรียกว่า ทองจังโก ตามแผ่นโลหะเหล่านี้มีลายสลักคนเป็นลวดลายแบบต่าง ๆ เกือบไม่เหมือนกันสักแผ่นเดียว ท่านใดที่มีราศีเกิดกับปีฉลู (ปีวัว) อย่าลืมนำวัวมานมัสการพระธาตุ เพื่อสะเดาะเคราะห์ และขอโชคลาภ




 วิหารพระพุทธ 

          ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบันเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มอาคาร ก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน และยังปรากฏเงาพระธาตุกลับหัวภายในวิหารอีกด้วย

          เมื่อหันหน้าเข้าหาวิหารหลวง ด้านขวามือ คือ วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี (แต้ม แปลว่า ภาพเขียน) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2044 เป็นวิหารเปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดอีกหลังหนึ่งทางภาคเหนือ คงรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม ภายในไม่มีฝ้าเพดาน กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา แต่ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก และประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.25 เมตร

พระธาตุลำปางหลวง

 ซุ้มพระบาท 

          สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้น

 กุฏิพระแก้ว 

          เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างเมื่อใด แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี มาแล้ว

 วิหารพระเจ้าศิลา 

          เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงละโว้ เมื่อ พ.ศ. 1275 พระบิดาของพระนางจามเทวีมอบให้ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้
 พิพิธภัณฑ์

          ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่าง ๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ด ธรรมาสน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น

          นอกจากนี้ วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน "พระแก้วดอนเต้า" (พระแก้วมรกต)พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียว มีงานนมัสการพระแก้วดอนเต้าในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี

          ทั้งนี้ วัดพระธาตุลำปางหลวง เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.30-17.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 5324 8604

พระธาตุลำปางหลวง

การเดินทาง 

          ใช้ถนนสายลำปาง-เถิน ถึงหลักกิโลเมตรที่ 586 เลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ว่าการอำเภอเกาะคา จากนั้นเลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร ถึงทางแยกเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร หรือ นั่งรถสองแถวสีฟ้าที่ถนนรอบเวียง รวมระยะทางจากตัวเมืองลำปางประมาณ 18 กิโลเมตร

วัดร่องขุ่น

   วัดร่องขุ่น


วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ที่ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย เป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรไทยที่มีผลงานจิตรกรรมไทยหลากหลาย จนได้รับการยกย่องขึ้นเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ในปี พ.ศ. 2554 ผู้ซึ่งอุทิศตนสร้างวัดวัดร่องขุ่นอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ให้วัดแห่งนี้งดงามดังสวรรค์ที่มีอยู่จริง อีกทั้งมนุษย์สามารถสัมผัสได้บนพื้นพิภพ คล้ายเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้คนเราใฝ่ปฏิบัติธรรม และประกอบแต่กรรมดีในการดำเนินชีวิต 



ความเป็นมาของวัดร่องขุ่น

          เมื่อครั้งกลับมาเยือนบ้านเกิด คือ หมู่บ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย อาจารย์เฉลิมชัย ได้เห็นว่า "วัดร่องขุ่น" ที่คนรุ่นพ่อร่วมกันสร้างนั้น มีสภาพทรุดโทรมเป็นที่สุด อาจารย์เฉลิมชัย จึงเกิดแรงดลใจว่าอยากสร้างวัดร่องขุ่นด้วยศิลปะสมัยใหม่ เหมาะกับประเทศไทย ภายใต้ร่มโพธิสมภารของในหลวง รัชกาลที่ 9 รวมถึงอยากจะสร้างงานศิลปะให้ยิ่งใหญ่ฝากไว้ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ณ บ้านเกิด อาจารย์จึงลงมือก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยอุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างงานชิ้นสุดท้ายของชีวิตชิ้นนี้ ด้วยเงินที่เก็บสะสมมาจากการจำหน่ายผลงานศิลปะในเวลากว่า 20 ปี 



ภายในวัดร่องขุ่น

          สิ่งที่โดดเด่นเมื่อมาเยือนวัดร่องขุ่น ก็คือ พระอุโบสถ ที่มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทางศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่แสนวิจิตรอลังการ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงช่อฟ้า ใบระกา และรายละเอียดซึ่งแตกต่างไปจากวัดแห่งอื่น โดยตัวพระอุโบสถที่เน้นสีขาวบริสุทธิ์นั้น สื่อแทนพระบริสุทธิคุณ ขณะที่กระจกขาววาววับจับประกายระยิบระยับ หมายถึงพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ที่โชติจรัสชัชวาลไปทั่วทั้งโลกมนุษย์และจักรวาล 

          ด้าน สะพาน หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ ก่อนขึ้นสะพานครึ่งวงกลมเล็ก หมายถึง โลกมนุษย์ วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญามารหรือพระราหู หมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรกคือทุกข์ ผู้ใดจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระพุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองทิ้งลงไปในปากพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตเราให้ผ่องใสถึงจะเดินผ่านขึ้นไป ส่วนบนของหลังคาโบสถ์ได้นำหลักธรรมอันสำคัญยิ่งของการปฏิบัติจิต 3 ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นำไปสู่ความว่าง (ความหลุดพ้น)


          ขณะที่ ช่อฟ้าเอก หมายถึง ศีล ประกอบด้วยสัตว์ 4 ชนิด ผสมกันแทน ดิน น้ำ ลม ไฟ โดย ช้าง หมายถึง ดิน, นาค หมายถึง น้ำ, ปีกหงส์ หมายถึง ลม และหน้าอก หมายถึง ไฟ ขึ้นไปปกปักรักษาพระศาสนา บนหลังช่อฟ้าเอกแทนด้วยพระธาตุ หมายถึง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ข้อ และ 84,4000 พระธรรมขันธ์

          ช่อฟ้าชั้นที่ 2 (บน) หมายถึง สมาธิ แทนด้วยสัตว์ 2 ชิด คือ พญานาคกับหงส์ เขี้ยวพญานาค หมายถึง ความชั่วในตัวมนุษย์ หงส์ หมายถึง ความดีงาม ศีลเป็นตัวฆ่าความชั่ว (กิเลส) เมื่อใจเราชนะกิเลสได้ก็เกิดสมาธิ มีสติกำหนดรู้เกิดปัญญา และช่อฟ้าชั้นที่ 3 (สูงสุด) หมายถึง ปัญญา แทนด้วยหงส์ปากครุฑ หมอบราบนิ่งสงบไม่ปรารถนาใด ๆ มุ่งสู่การดับสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสภายใน ด้านหลังหางช่อฟ้าชั้นที่ 3 มีลวดลาย 7 ชิ้น หมายถึง โพชฌงค์ 7 ลาย 8 ชิ้นรองรับฉัตร หมายถึง มรรค 8 ฉัตร หมายถึง พระนิพพาน รวมถึงลวดลายบนเชิงชายด้านข้างของหลังคาชั้นบนสุดแทนด้วยสังโยชน์ 10 เสา 4 มุม ด้านข้างโบสถ์ คือ ตุง (ธง) กระด้าง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าตามคติล้านนา

          นอกจากนี้ ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่แสนอลังการฝีมือของ อาจารย์เฉลิมชัย ซึ่งไม่น่าพลาดชมอยู่ภายในโบสถ์อีกด้วย โดยภายในพระอุโบสถ ประกอบด้วย ภาพเขียนสีทองตามผนังทั้ง 4 ด้าน เพดานและพื้นเป็นภาพเขียนที่แสดงถึงการหลุดพ้นจากกิเลสมาร มุ่งเข้าสู่โลกุตรธรรม ส่วนหลังคาพระอุโบสถได้นำหลักการของการปฏิบัติจิต 3 ข้อ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน 


          โดยวัดกำลังสร้างต่อเติมไปเรื่อย ๆ ให้ครบทั้ง 9 หลังตามเป้าหมาย ให้เป็นอาคารที่มีรูปทรงแตกต่างกัน เพื่อเป็นเมืองสวรรค์อันยิ่งใหญ่ให้คนทั้งโลกยอมรับและชื่นชมในผลงานการสร้างพุทธศิลป์แห่งนี้ ถึงแม้ว่าการก่อสร้างวัดนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ความงามที่ปรากฏได้สร้างความสุขทางใจให้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวในพุทธศาสนา กับรายละเอียดตกแต่งที่พิถีพิถันทั่วทุกมุม ซึ่งไม่เพียงแต่ความวิจิตรที่สัมผัสได้เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงหลักธรรมในศาสนาที่ลึกซึ้งให้ผู้ที่มาเยือนได้กลับไปขบคิดกันอีกด้วย 

          วัดร่องขุ่น เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30 – 18.00 น. ห้องแสดงภาพเปิดให้เข้าชมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-17.30 น. วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา 08.00-18.00 น. ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดร่องขุ่น โทรศัพท์ 0 5367 3579, ททท. สำนักงานเชียงราย โทรศัพท์ 0 5371 7433 และศูนย์บริหารจัดการการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย โทรศัพท์ 0 5371 5690


 การเดินทาง

          ถนนสายเชียงราย-กรุงเทพฯ ถ้ามาจากกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ วัดร่องขุ่นจะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย 13 กิโลเมตร ตรงหลักกิโลเมตรที่ 816 ถนนพลหลโยธิน (หมายเลข 1 / A2) เลี้ยวเข้าไปประมาณ 100 เมตร จะมีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เวียนเทียนกลางน้ำ ณ.กว๊านพะเยา

ประเพณีไทยเวียนเทียนกลางน้ำ


วัดติโลกอาราม เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา เป็นวัดที่พระเจ้าติโลกราช แห่งราชอาณาจักรล้านนา โปรดให้พระยายุทธิษถิระเจ้าเมืองพะเยาสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๐๑๙-๒๐๒๙ ในบริเวณที่เรียกว่า บวกสี่แจ่ง พร้อมทั้งพระราชทานเงินก่อสร้าง จำนวน ๑๐ แสนเบี้ย และในพิธีผูกพัทธสีมาวัดติโลกอาราม มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของเมืองพะเยาประมาณ ๗ วัด มาร่วมพิธีอีกด้วย       

วัดแห่งนี้เป็นชื่อวัดที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ซึ่งถูกค้นพบได้ในวัดร้างกลางกว๊านพะเยาหรือในบริเวณหนองเต่าจากข้อความที่ปรากฎในศิลาจารึก ทำให้รู้ว่าวัดนี้มีอายุเก่าแก่มากว่า ๕๐๐ ปี สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเป็นวัดที่มีผู้ปกครองเมืองพะเยาได้สร้างถวาย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแก่พระติโลกราช ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรล้านนา       วัดติโลกอาราม เป็นวัดที่จมอยู่ในกว๊านพะเยามานานกว่า ๖๘ ปี สาเหตุที่จมน้ำเนื่องจากในปี พ.ศ.๒๔๘๒ กรมประมงสร้างประตูกั้นน้ำในกว๊านพะเยาเพื่อกักเก็บน้ำจึงทำให้กว๊านพะเยาที่แต่เดิมเป็นชุมชนโบราณ และมีวัดอยู่เป็นจำนวนมากต้องจมน้ำในที่สุด    
       
พระพุทธรูป (หลวงพ่อศิลา)เป็นพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย อายุกว่า ๕๐๐ ปี ค้นพบเมื่อปี ๒๕๒๖ ในบริเวณวัดติโลกอารามที่จมอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดศรีอุโมงค์คำ จนกระทั่งวันอาทิตย์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ จึงได้อัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับไปประดิษฐานบริเวณที่เป็นที่ตั้งของวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือไปสักการบูชา และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำของเมืองพระเยา       พระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา)ได้ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ ณ.บริเวณวัดร้างที่จมอยู่ใต้น้ำในกว๊านพะเยา ซึ่งต่อมาค้นพบหลักฐานชื่อวัดติโลกอาราม และชาวชุมชนรอบกว๊านพะเยาจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา) มาประดิษฐานที่วัดศรีอุโมงค์คำ ตั้งแต่ปี พงศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา และในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ จังหวัดพะเยาร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดพะเยา และชุมชนรอบกว๊านพะเยามีความประสงค์จะอัญเชิญพระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา)อายุกว่า ๕๐๐ ปีกลับไปประดิษฐานไว้ ณ วัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา และได้กำหนดจัดพิธีอัญเชิญพระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา) เริ่มตั้งแต่ เวลา ๐๖.๓๐ น. มีพิธีบวงสรวง ณ วัดศรีอุโมงค์คำ เวลา ๐๗.๕๙ น.เคลื่อนองค์พระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา)ออกจากแท่นประดิษฐานวัดศรีอุโมงค์คำ สู่รถขบวนอันเชิญ ซึ่งจะจัดตามแบบประเพณีไทยโบราณล้านนาเคลื่อนขบวนแห่ไปตามถนนสายหลักในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ผ่านประตูเมืองสำคัญ คือ ประตูปู่ยี่ ประตูชัย ประตูเหล็ก เข้าสู่ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง เวลา ๑๓.๐๐ น. เคลื่อนขบวนลงเรือเข้าสู่บริเวณลานหน้าวัดติโลกอาราม เวลา ๑๕.๐๙ น.อัญเชิญองค์พระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนแท่น ณ.วัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา และในตอนค่ำจะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สมโภช และพิธีสวดเบิกจนถึงเที่ยงคืน     

ประเพณีไทยการเวียนเทียนกลางกว๊านพะเยา โดยเริ่มมีการเวียนเทียนครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ หลังจากได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูป(หลวงพ่อศิลา) มาประดิษฐาน ณ วัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา ซึ่งจะทำให้วันเพ็ญเดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับ มาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา จะมีประเพณีไทยพิธีเวียนเทียนกลางน้ำในยามใกล้ค่ำ ชาวบ้านต่างพากันนำดอกไม้ธูปเทียน ล่องเรือไปเวียนเทียนบูชาองค์หลวงพ่อศิลากลางน้ำ ๓ รอบ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จังหวัดพะเยา ร่วมกับ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาส่วนราชการ และภาคเอกชน จัดงานศิลปวัฒนธรรมล้านนาและงานบวงสรวงพ่อขุนงำเมือง อย่างยิ่งใหญ่ในรอบ ๓๒ ปี ของจังหวัด โดยงานดังกล่าวจะผนวกด้วยกิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา คือ วันมาฆบูชา ซึ่งจะมีประเพณีไทยเวียนเทียนกลางกว๊านพะเยา